วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2559

บางส่วนเรื่องเล่าเกี่ยวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ที่อ่านแล้วน้ำตาไหล



“เมื่อคุณพระเศวตฯ ยังเป็นลูกช้างเล็กๆ อยู่ที่บ้านกำนันในจังหวัดยะลา และยังไม่ได้ถวายตัวขึ้นระวางนั้น ปรากฏว่านางเบี้ยว (สุนัข) เป็นโรคอย่างหนักขนาดชักกระตุกไปทั้งตัว แทบจะเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว แต่ก็สู้อุตส่าห์กระเสือกกระสนคลานมาถึงที่คุณพระเศวตฯ อยู่ และเลียกินน้ำอาบของคุณพระเศวตฯ เข้าไป อาการป่วยทั้งปวงก็หายเป็นปกติ เดินเหินได้ตามเดิม รอดชีวิตมาได้ นางเบี้ยวก็กตัญญูรู้คุณ ติดตามคุณพระเศวตฯ เรื่อยมา ไม่ยอมห่าง คุณพระก็เมตตาเอ็นดูนางเบี้ยวถือว่านางเบี้ยวเป็นหมาของคุณพระ เมื่อถึงคราวที่คุณพระเศวตฯจะต้องเข้ามาอยู่กรุงเทพฯเพราะเป็นช้างต้นขึ้นระวางแล้ว ทั้งคุณพระเศวตฯและนางเบี้ยวก็ทุรนทุรายเดือดร้อนมาก นางเบี้ยวร้องทั้งกลางวันและกลางคืนจะตามคุณพระมาด้วย เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท จึงมีพระราชกระแส ว่า ช้างทั้งตัวยังเอาไปได้ ทำไมหมาอีกตัวเดียวจะเอาไปไม่ได้ ให้เอาหมาไปด้วยเถิด สงสารมัน อย่าไปพรากมันเลย
นางเบี้ยวติดตามเข้ามาอยู่กับคุณพระเศวตฯ เล็กในสวนจิตรลดาด้วย และเป็นที่รักชอบของคนในวัง เมื่อเข้ามาอยู่ในรั้วในวังก็เลื่อนฐานะขึ้นเป็นแม่เบี้ยว บางคนเรียกคุณเบี้ยวด้วยซ้ำไป และได้ออกลูกออกหลานไว้ที่โรงช้างนั้นเป็นจำนวนมากแม่เบี้ยวตายไปหลายปีแล้ว แต่คุณพระเศวตฯ ก็ยังเลี้ยงลูกหลานแม่เบี้ยวสืบมา เวลาคุณพระเศวตฯ ออกเดินในสวนจิตรลดาหมาคุณพระทั้งปวงก็วิ่งตามเป็นฝูงและเชื่อฟังคุณพระทุกอย่าง
  เมื่อครั้งพระนางเจ้าอลิซาเบธแห่งกรุงอังกฤษเสด็จพระราชดำเนินที่พระตำหนักจิตรลดา คุณพระเศวตฯ ก็มายืนคอยรับเสด็จ หมาทั้งปวงของคุณพระก็มาวิ่งเล่นกันอยู่เต็มสนาม ผมบังเอิญไปเห็นเข้าก็เข้าไปกระซิบคุณพระว่า หมา กระจัดกระจายเต็มทีแล้ว คุณพระได้ยินดังนั้น ก็ร้องเหมือนเสียงแตร หมาทั้งปวงก็วิ่งกลับมารวมกันอยู่บริเวณต้นไม้ใกล้ๆ คุณพระ ไม่ซุกซนต่อไป มีอยู่ตัวหนึ่ง ซึ่งคุณพระออกจะรักมาก วิ่งเข้ามาอยู่ใต้ท้องคุณพระ อาศัยคุณพระเป็นเงาบังร่ม ควาญเล่าว่า เวลากลางคืนหมาหลายสิบตัวเหล่านี้ จะนอนแวดล้อมคุณพระ ใครเดินเข้าไปในเวลากลางคืนก็จะเห่าขึ้นพร้อมกัน และถ้าใครขืนเดินตรงไปถึงตัวคุณพระ ก็คงโดนหมารุมกัดแน่ๆ คุณพระเศวตฯ เล็กมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างน่าอัศจรรย์ แลเห็นพระองค์ต้องยกงวงขึ้นจบถวายบังคมทุกครั้งโดยไม่ต้องมีใครบอก และถ้าเสด็จพระราชดำเนินลงไปเยี่ยมที่โรงช้าง คุณพระก็จะเฝ้าฯ ไป และถวายบังคมไปเป็นระยะไม่มีขาดจนพระกรุณาตรัสว่า ไม่ต้องถวายบังคมบ่อยถึงเพียงนั้น คุณพระจึงจะหยุดถวายบังคม”...
 เรื่องเล่าจาก “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช

เมื่อ รถพระที่นั่งของ "ในหลวง รัชกาลที่ ๙" ติดหล่มอยู่เพียงลำพัง! "นักเรียนชั้น ป.๔" เล่าความประทับใจที่มิอาจลบเลือน!

หากจะย้อนกลับไปค้นหาจุดเริ่มต้นของพระราชกรณียกิจในด้านการพัฒนาแล้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจในด้านต่าง ๆ อันเป็นประโยชน์แก่ชาวไทยตลอดพระชนมายุของพระองค์ โดยพระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระองค์ คือ การเสด็จพระราชดำเนินเยือนประชาชนในท้องถิ่นต่าง ๆ ของประเทศ ดังในปฐมพระบรมราชโองการในระหว่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวสยาม"

กี่ปีมาแล้วที่เห็นพระองค์นั้นทรงเหนื่อยล้ากายและใจ ด้วยความมุ่งหมายว่าจะดูแลแก้ไขป้องภัยให้พสกนิกรชาวไทย แม้จะลำบากเพียงใด ก็ทรงทำเพื่อราษฎรของพระองค์ ไม่มีพระมหากษัตริย์องค์ใด เสมอเหมือนพระองค์ได้อีกแล้ว 

พนม ช่อจันทร์ นักเรียนชั้น ป.๔ โรงเรียนบ้านเขาเต่า เล่าถึงเหตุการณ์สำคัญในชีวิตที่เกิดขึ้นกับเขาโดยไม่คาดฝัน เอาไว้ว่า

เมื่อ ปี พ.ศ.๒๕๐๑ ขณะที่กำลังเล่นสนุกกับเพื่อนอีกสองคน จู่ๆก็เหลือบไปเห็นรถจี๊ปสีเขียวหลังคาผ้าเต็นท์คันหนึ่ง ติดหล่มอยู่ในขี้เลน มีชายคนหนึ่งขับมาคนเดียวและพยายามขับรถขึ้นจากหล่มอยู่นาน เขาและเพื่อนจึงวิ่งเข้าไปช่วยเข็น ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง กับความพยายามอยู่ร่วมชั่วโมง แถมยิ่งออกแรงเร่งเครื่องมากเท่าไหร่ ล้อรถก็ยิ่งจมเลนลึกลงไปทุกทีๆ สุดท้ายทุกคนก็หมดแรง ต่างหยุดพักแผ่หรากันอยู่ตรงนั้น

"หนูเคยเห็นคนนี้ที่ไหน" เสียงของชายเจ้าของรถเอ่ยถาม พร้อมยื่นแบงค์ใบละหนึ่งบาทให้ เด็กชายพนมตอบว่า "เคยเห็นแต่ในแบงค์ แต่ไม่เคยเห็นตัวจริง" ชายคนนั้นถอดหมวกที่สวมอยู่ออก แล้วถามกลับมาอีกว่า "เหมือนเราไหม"

ในวินาทีนั้น เด็กชายทั้งสามคนรู้แล้วว่า ผู้ชายที่เขาเห็นแต่งกายธรรมดาผู้กำลังสนทนาอยู่ตรงหน้านั้นเป็นใคร ต่างก็นิ่งอึ้งและเข่าอ่อน ทรุดนั่งลงกลางเลน กราบลงแทบพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๙ ทรงตรัสขึ้นว่า "ลุกขึ้น ลุกขึ้นเถิด อย่านั่งเลย มันเลอะ"

หลังจากนั้น พระองค์จึงทรงพระอักษรใส่กระดาษ ให้เด็กชายนำไปส่งให้ครูที่โรงเรียนเทศบาลเขาเต่า ครูได้เห็นจดหมายนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นองค์เหนือหัว แต่ด้วยน้ำจิตน้ำใจแบบไทย เห็นใครเดือดร้อนก็ต้องช่วยเหลือ จึงสั่งการเกณฑ์เด็กโตๆ ไปร่วมยี่สิบคน จนในที่สุดรถยนต์พระที่นั่งก็ขึ้นจากหล่มจนได้ ก่อนเสด็จฯ จากไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๙  ทรงตรัสว่า "ขอบใจมาก" เสียงนั้นยังก้องกังวานในใจของเด็กชายมาจนตราบทุกวันนี้

ภายหลังจากการพระราชพิธีอภิเษกสมรส พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินมาประทับ ณ วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์  การนี้เองจึงถือกำเนิดโครงการแรกอันเนื่องจากพระราชดำริขึ้น ณ ชุมชนบ้านเขาเต่า และนับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการตามพระราชดำริอื่นๆ อีกมากมาย

 (เนื้อหาจากที่สุดดอทคอม)

'เรื่องน่ารักของคุณทองแดง'
คุณทองแดงเป็นสุนัขแสนรู้และมีความกตัญญู ทันตแพทย์ผู้ถวายงานท่านหนึ่งเล่าไว้ว่า...
เมื่อเวลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ มาทำพระทนต์ ที่ห้องทำพระทนต์ ณ พระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน คุณทองแดงจะเดินเข้าห้องนำหน้าพระองค์ท่าน จะเดินสำรวจไปรอบๆ เก้าอี้ทำพระทนต์ และโต๊ะทุกโต๊ะที่ตั้งเครื่องมือเครื่องใช้ไว้...แต่จะไม่แตะต้อง ในหลวงรับสั่งว่า..."ทองแดงเขาเดินตรวจความเรียบร้อย" และขณะที่ในหลวงทำพระทนต์ คุณทองแดงจะทำท่าหมอบกราบโดยเอาสองขาหน้าประสานกันโดยไม่มีการลุกเดินไปไหนตลอดเวลาที่ในหลวงทำพระทนต์และทรงคุยกับทันตแพทย์...ซึ่งบางครั้งรวมเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง และก่อนที่พระองค์ท่านจะเสด็จกลับ คุณทองแดงจะเดินมาเลียหน้าทันตแพทย์ทุกคนเพื่อขอบใจ มีวันหนึ่งคุณทองแดงไม่เลียหน้าอาจารย์เมตตจิตต์ (รศ.ทันตแพทย์หญิงคุณเมตตจิตต์ นวจินดา) เพื่อขอบใจ ดิฉันได้ทูลถามพระองค์ท่านว่า...วันนี้คุณทองแดงไม่ขอบใจคุณหมอเมตตจิตต์

พระองค์ท่านทรงมีรับสั่งตอบพร้อมรอยแย้มสรวลว่า..."ก็วันนี้หมอเมตตจิตต์ไม่ได้ทำอะไรนี่"




: เนื้อหาจาก เพจ ตามรอยพ่อ
'ความสุข'

ความสุขของในหลวงคืออะไร ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เขียนในหนังสือ 'ใต้เบื้องพระยุคลบาท' ไว้ว่า...

...คงไม่เกินเลยที่จะกล่าวว่า พระองค์ทรงพระเกษมสำราญ และทรงมีความสุขทุกคราที่จะช่วยเหลือประชาชน เพราะได้เคยรับสั่งกับพวกเราครั้งหนึ่งว่า...

"ทำงานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากการมีความสุขร่วมกันในการทำประโยชน์ให้ผู้อื่น"

พ่อของแผ่นดินผู้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ เพื่อพสกนิกรของพระองค์ได้อยู่ดีมีสุขถ้วนหน้า ปวงข้าพระพุทธเจ้าสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคล ขอพระองค์ทรงพระสิริสวัสดิ์ ทรงพระเกษมสำราญ ปราศจากโรคาพยาธิพิบัติภัยใดมาแผ้วพาน ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน เป็นธงชัยแห่งประเทศชาติ และสถิตเป็นมิ่งขวัญแห่งอาณา ประชาราษฎร์สืบไปชั่วจิรัฐติกาล กราบแทบพระบาท...
: เนื้อหาจาก เพจ ตามรอยพ่อ
 
"..ทรงเลี้ยงสัตว์ไว้มาก ตั้งแต่สุนัข ลิง นก ยามอยู่ต่างประเทศพื้นที่จำกัด จะเลี้ยงหมูหางยาวดูน่าเกลียด งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต

ในหลวงทรงซนนิดหน่อยอย่างที่ควรซน ทำอะไรแม่จะทำโทษ อยู่เมืองไทยจะเฆี่ยนบ้าง แต่ก่อนจะเฆี่ยนจะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรอง ๓ ทีมากเกินไป ๒ ทีพอแล้ว.."

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเล่าประทานแก่ผู้จัดทำหนังสือ 'สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี'
***
พ่อของแผ่นดินผู้ทรงงานตลอดทั้งพระชนมายุแปดสิบกว่าพรรษาของพระองค์ เพื่อปวงพสกนิกร
: เนื้อหาจาก เพจ ตามรอยพ่อ 
ปรัชญาการทำงานของในหลวง..'งานของเรา คือการทำให้เขามีความสุข'

เคยมีคนไปกราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้พระองค์ทรงงดการเสด็จฯ ไปพระราชทานปริญญาบัตร เหตุผลก็เพราะว่าพระองค์ทรงตรากตรำและพระชนมพรรษาสูงวัยแล้ว คำตอบที่ได้รับคือ เวลาที่พระองค์ท่านเสด็จฯ ไปพระราชทานปริญญาบัตรเป็นเวลาที่มีความสุขมาก เพราะว่าได้เห็นบัณฑิตทั้งหลายมีความสุข นิสิตทั้งหลายเรียนกันมา ๔ ปี ๕ ปี เป็นแพทย์ก็อาจจะ ๗ ปี พอเรียนจบได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ของในหลวง ลืมความทุกข์ไปหมดเลย มีความสุขมาก แล้วทุกคนก็มีแต่รอยยิ้ม มานั่งรอในหลวงได้เป็นครึ่งวัน

ที่เมืองไทยวันรับปริญญาจึงนับเป็นวันมหกรรมแห่งความสุข แต่สุขที่สุดอยู่ตรงที่ได้รับพระราชทานจากในหลวง มันไม่เพียงเป็นความสุข แต่เป็นความทรงจำที่งดงามด้วย

ในหลวงตรัสว่า.."บัณฑิตเขาเรียนมา ๔ ปีเหนื่อยหนักหนาสาหัส ก็ให้เขามีความสุขสักวันหนึ่ง ขอให้เขาได้รับปริญญาบัตรจากฉัน แล้วตัวฉันเองก็มีความสุขที่ได้เห็นบัณฑิตทั้งหลายมารับปริญญาบัตรจากมือของฉันแล้วมีความสุข ฉะนั้น ฉันก็ยินดีที่จะทำหน้าที่นี้ต่อไป"

Edit จากบทความของท่าน ว.วชิรเมธี
: เนื้อหาจาก เพจ ตามรอยพ่อ

 

  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงเป็นกษัตริย์ที่เป็นกันเองและมีพระอารมณ์ขัน ตัวอย่างเช่นเมื่อสมรักษ์ คำสิงห์ เมื่อครั้งได้เหรียญทองโอลิมปิก

ในหลวงรับสั่งต่อสมรักษ์ คำสิงห์ เมื่อครั้งเข้าเฝ้าทูลเกล้า ถวายเหรียญทองโอลิมปิก แอตแลนตาเกมส์ปี 1996 ว่า " เราดูสมรักษ์ชกวันนั้น เห็นสมรักษ์ถือรูปเราขึ้นเวที ชูมือ เรานึกว่าเราเป็นคนชกเอง พอสมรักษ์ชกชนะ เราก็เผลอกระโดดโลดเต้นดีใจ จนข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หัวเราะเรา เราก็เลยรู้สึกอาย เราก็เลยนั่งลง"

: เนื่อหาจากอินสตาแกรม

“ทรงจับไหล่ผม ตรัสว่าได้นอนหรือยัง”รปภ.ศิริราชเผยสุดภูมิใจที่ได้ถวายรับใช้พ่อหลวง

 อุทัย ภาเจริญสุข พนักงานรักษาความปลอดภัย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล บุคคลที่ได้ขับลิฟท์(กดลิฟท์รับ-ส่งขึ้นลง) ถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และพระบรมวงศานุวงศ์ ตอนขึ้นลงอาคารเฉลิมพระเกียรติ เล่าว่า

เข้าทำงานเป็นรปภ.มา 18 ปี ตั้งแต่ปีพ.ศ.2541 และได้ถวายงานรับใช้พระองค์ท่านเมื่อปีพ.ศ.2545 จากการคัดเลือกรปภ. 200 คน เหลือเพียง 18 คน ถือเป็นความปลาบปลื้มที่สุดในชีวิตที่ได้ทำงานรับใช้พระองค์ท่าน ส่วนหน้าที่ที่ต้องถวายงานพระองค์นั้น คือ เมื่อพระองค์ท่าน หรือพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จมาที่อาคาร ตนจะเป็นคนขับลิฟท์ถวายส่งพระองค์ท่านไปยังชั้นที่จะเสด็จประทับ
s__104914954
อุทัยเล่าต่อว่า เหตุการณ์ที่จำไม่มีวันลืม คือ ตอนที่พระองค์ท่านจะเสด็จกลับ ทุกครั้งเมื่อลิฟท์ลงมาถึงชั้นล่าง พระองค์จะตรัสเสมอว่า “ขอบใจนะ” ตนทั้งตื่นเต้นและดีใจ จึงตอบกลับไปว่า “ด้วยเกล้าพระเจ้าคะ” ไม่รู้ว่าพูดคำราชาศัพท์ถูกหรือไม่
อีกเรื่องที่ตนซาบซึ้ง และไม่รู้จะตอบแทนพระองค์ท่านได้อย่างไร เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ตนขี่จักรยานมาทำงานแล้วถูกรถยนต์ชนจนบาดเจ็บสาหัส แขน ขา และสะโพกหัก ต้องรักษาตัวอยู่ 9 เดือน พอผู้รับใช้ของพระองค์ท่านทราบเรื่อง ได้รับตนเข้าเป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ถือเป็นวาสนาของตนมากที่มีโอกาสรับใช้ใกล้ชิดพระองค์ แม้จะเป็นเพียงพนักงานรักษาความปลอดภัย แต่พระองค์ท่านก็ทรงใส่ใจ และช่วยเหลือเมื่อยามยากลำบาก

“เหตุการณ์ที่ผมภูมิใจมากที่สุดที่ชีวิตนี้จะไม่มีวันลืม เกิดขึ้นในคืนหนึ่งเวลาประมาณ 23.00 น. ผมได้ขับลิฟท์ถวายแก่พระองค์ท่าน ขณะอยู่ในลิฟท์ พระองค์ท่านนำพระหัตถ์มาจับไหล่ผม และตรัสว่า “ได้นอนหรือยัง” ผมตอบพระองค์ท่านไปว่า “ยังพระพุทธเจ้าคะ” ถือเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดและฝันมาก่อนว่าจะได้ใกล้ชิดพระองค์ท่านขนาดนี้ อยากเก็บชุดตัวนั้นเอาไว้ไม่ซักอีกเลย” รปภ.ศิริราช เล่าด้วยความภาคภูมิใจ
อุทัย เล่าต่อว่า ครั้งสุดท้ายที่ได้ขับลิฟท์ถวายพระองค์ท่าน คือตอนเข็นพระบรมศพลงมาทางลิฟท์ตัวที่ 7 จากชั้น 16 ลงมาที่ชั้น บี 2 ตนใส่ชุดเครื่องแบบรปภ.เต็มยศพร้อมถุงมือ และตั้งใจปฏิบัติหน้าที่เต็มที่ จนเมื่อรถเข็นของพระองค์ท่านเสด็จออกจากลิฟท์ไปนั้น ตนก้มลงกราบ และกลับเข้าไปในลิฟท์ร้องไห้ออกมาทันที กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เพราะจากที่เมื่อก่อนถวายงานทุกวัน
 จนวันนี้วันที่ท่านไม่อยู่แล้ว รู้สึกว้าเหว่ ถือเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ถวายงานรับใช้พระองค์ท่าน โดยหลังจากนี้ตั้งใจจะเก็บถุงมือที่ถวายงานมาใส่กรอบไว้ให้ลูกหลานได้ดูต่อไป
“จากนี้ไปจะนำคำสอนเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต และจะเป็นคนดีของสังคม คนอื่นอาจมองอาชีพ รปภ. หรือ ยาม เป็นอาชีพสุดท้ายที่จะเลือกเป็นได้ ไม่มีใครชอบ แต่สำหรับตน มีความภูมิใจและถือเป็นเกียรติมากที่ได้ทำอาชีพนี้ และได้ใกล้ชิดกับพระองค์ท่าน มันคุ้มและยิ่งใหญ่มากพอแล้ว” พี่อุทัยตั้งปณิธานในชีวิต

ขณะที่ วิโรจน์ วงศ์ละม้าย พนักงานรักษาความปลอดภัย อาคารเฉลิมพระเกียรตฺ ถือเป็นอีกคนที่มีโอกาสรับใช้พระองค์ท่าน เล่าว่า ตนถวายงานดูแลรักษาความปลอดภัยที่ชั้น จี ของอาคารเฉลิมพระเกียรติ ครั้งแรกที่เห็นพระองค์ท่านตนน้ำตาไหลออกมาด้วยความปลื้มปิติ ตอนที่พระองค์ท่านยังแข็งแรง หากเสด็จลงมาจากชั้น 16 พระองค์ท่านจะแย้มพระสรวลตลอด ชีวิตนี้ตนตายหลับแล้ว เพราะได้รับใช้พระเจ้าแผ่นดิน ทั้งยังถือเป็นเกียรติกับวงศ์ตระกูลอีกด้วย

วิโรจน์ เล่าอีกว่า พระองค์ท่านทรงมีเมตตากับพวกตน และทุกคนที่ถวายงานท่าน ทั้งมหาดเล็ก ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง ในวันสำคัญอย่างวันคล้ายวันพระราชสมภพ 5 ธันวาคม ของทุกปี ท่านก็จะประทานเค้กให้พวกตนได้กินกัน ทุกคนซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านอย่างมาก” วิโรจน์ ย้อนเล่าถึงความปลาบปลื้มใจในชีวิต
วิโรจน์ ยังเล่าอีกว่า หลังจากพระองค์ท่านสวรรคต ตนใจหายและนอนไม่หลับ ถ้าเปลี่ยนให้คนแทนได้ก็จะทำ อยากให้พระองค์ท่านมีชิวิตอยู่ เพราะไม่มีพระราชา ที่ไหนที่จะทำเพื่อประชาชนเหมือนพระองค์ท่านอีกแล้ว ซึ่งหลังไม่มีพระองค์ท่านประทับอยู่ที่นี่ บรรยากาศที่นี่ก็เงียบเหงาไม่เหมือนเดิม แต่ยังมีประชาชนบางคนเดินมาที่ตึกแล้วร้องไห้ออกมา ขณะที่เจ้าหน้าที่ที่ทำงานในตึกเดินมาทำงานยังตาแดงเสียใจกับการสวรรคตของพระองค์ท่าน ส่วนตนหลังจากนี้จะยึดแนวทางคำสอนของพระองค์ท่าน เรื่องการทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหายให้ดีที่สุด ทำให้เต็มที่เต็มกำลัง และทำหน้าที่ตามที่ท่านสอนไว้
วันนี้แม้ไม่มี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชแล้ว แต่ภาพความประทับใจ และคำสอนของพระองค์ท่าน จะฝังอยู่ในทรงจำของบุคคลที่ครั้งหนึ่งในชีวิตเคยถวายงานรับใช้พระราชาที่มีคนรักมากที่สุดในประเทศไทย
 :เนื้อหาจากเว็บข่าวสด

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น